วันนี้ทีมงาน GCLUB ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่าน... หลายคนอาจเคยเป็นหรือได้ยินชื่อ
“โรคปากนกกระจอก”
สังเกตุจากแผลที่มุมปากอย่างชัดเจนซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย
โรคนี้แม้ไม่ร้ายแรงและสามารถรักษาให้หายได้ แต่ก็ควรหมั่นสังเกตตนเองเพื่อให้รับมือกับโรคได้อย่างถูกวิธี
โรคปากนกกระจอก
ปากนกกระจอก
(Angular Cheilitis) เป็นภาวะอักเสบบริเวณมุมปาก
แสดงอาการในลักษณะแผลเปื่อย เจ็บปาก อาจมีรอยแดง บวม
ตึงที่มุมปากข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง แม้ไม่ใช่โรคติดต่อไม่ร้ายแรง
สามารถหายได้เองภายใน 7-10 วัน แต่อาจนานกว่านั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดปากนกกระจอก
อาการปากนกกระจอก
สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งข้างเดียวและสองข้าง
อาการต่าง ๆ จะแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล สามารถสังเกตได้ดังนี้
-
แผลเปื่อยแตกเป็นร่องที่มุมปาก
-
เจ็บ คันระคายเคืองมุมปาก
-
เกิดรอยแดงและเลือดออก
-
มีตุ่มพองและของเหลวด้านใน
-
เกิดสะเก็ดแผล
-
ปากบวม ลอก แห้ง แตก ตึง
อาการต่าง
ๆ ล้วนส่งผลให้ความอยากอาหารลดลง เนื่องจากกินลำบากมากขึ้น
และอาจส่งผลให้เกิดเชื้อราที่ผิวหนังหรือแผลติดเชื้อแบคทีเรีย ลุกลามไปรอบ ๆ
บริเวณที่เกิดโรคปากนกกระจอกได้
การป้องกันปากนกกระจอก
-
กินอาหารที่มีวิตามินบี อาทิ ปลา ตับ ถั่ว นม ฯลฯ
-
กินอาหารที่มีธาตุเหล็ก อาทิ เนื้อแดง ใบกะเพรา หอย ไข่แดง ธัญพืช
-
เลิกนิสัยชอบเลียมุมปาก ไม่กัดหรือเลียริมฝีปาก เมื่อแห้งหรือแตก
-
งดผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการแพ้และระคายเคือง ที่ริมฝีปากอย่างลิปสติก ยาสีฟัน
-
ทาปากด้วยลิปบาล์มเพื่อความชุ่มชื้นของผิว ลดอาการปากแห้งและการระคายเคืองทางผิวหนัง
-
ไม่ใส่ฟันปลอมขณะนอนหลับ ดูแลความสะอาด อยู่เสมอ
-
งดสูบบุหรี่
เรื่องต้องรู้
ห้ามใช้ลิ้นเลียมุมปากที่มีแผลจะยิ่งทำให้แผลแห้งและตึงยิ่งกว่าเดิม
เมื่อต้องอ้าปากกว้างๆ มีโอกาสเลือดออกได้ อาการของโรคปากนกกระจอกที่บ่งบอกว่ารุนแรง
คือ มีเลือดออก ถ้าเป็นโรคปากนกกระจอกบ่อย ๆ ซ้ำไปซ้ำมา จะเกิดแผลเป็นบริเวณมุมปาก
ซึ่งควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุเพิ่มเติมของการเกิดโรคซ้ำ
ขอขอบคุณ
ข้อมูล : thaihealth





ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น