วันนี้ทีมงาน GCLUB มีข้อมูลข่าวสารดีๆ มานำเสนอท่านผู้อ่านทุกท่าน... ยาต้านไวรัสเอดส์
"เอฟฟาไวเรนซ์" ของอภ.ผ่านรับรองมาตรฐานสากล ถูกบรรจุในบัญชีรายชื่อของ WHO
นับเป็นรายการแรกของไทย-อาเซียน
สามารถส่งขายทั่วโลกช่วยผู้ป่วยเอดส์กว่า 20 ประเทศเข้าถึงยา
"ฟิลิปปินส์" สนใจสั่งมูลค่ากว่า 50 ล้านบาท
นับเป็นยารายการแรกของประเทศไทย
และเป็นประเทศเดียวในกลุ่มประเทศสมาชิกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)
ที่ได้รับการรับรองนี้ เพิ่มความเชื่อมั่นในคุณภาพ ประสิทธิผล
และความปลอดภัยต่อผลิตภัณฑ์ยาของอภ. ให้มีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น
ทั้งตลาดยาภายในประเทศและต่างประเทศ "ยาต้านไวรัสเอดส์เอฟฟาไวเรนซ์ ขนิดเม็ด
ขนาด 600 มิลลิกรัมป็นยาที่ผู้ป่วยเอดส์มีความจำเป็นต้องใช้
เนื่องจากเป็นยาต้านไวรัสที่แนะนำให้เป็นสูตรแรก (first line regimen) ตามแนวทางการตรวจรักษาและป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีของประเทศไทย
ซึ่งในปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อที่ใช้ยานี้ประมาณ 80,000 ราย ยาต้านไวรัสเอดส์ Efavirenz
จะช่วยลดปริมาณเชื้อเอชไอวีในร่างกายและทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น
รวมทั้งลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อเอชไอวี เช่น
การติดเชื้อของโรคฉวยโอกาสซึ่งเสี่ยงต่อการป่วยเป็นวัณโรค
การติดเชื้อที่นำไปสู่การเป็นมะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก
ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีให้ดีขึ้น
นอกจากจะสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยในประเทศไทยให้เข้าถึงยาคุณภาพได้แล้ว
ยังเป็นการเพิ่มโอกาสการช่วยเหลือผู้ป่วยในภูมิภาคอาเซียน หรือประเทศอื่นๆอีกกว่า
20 ประเทศทั่วโลกที่เข้าร่วมโครงการความร่วมมือของฮูกับ
หน่วยงานกำกับดูแลผลิตภัณฑ์ยาแต่ละประเทศ ส่งผลให้องค์การฯ สามารถขึ้นทะเบียนตำรับยาเอฟฟาไวเรนซ์
ไปยังประเทศเหล่านั้นได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น
ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียนตำรับยาไปยังประเทศฟิลิปปินส์
คาดว่าจะมีมูลค่าการสั่งซื้อเพิ่มขึ้นราว 50 ล้านบาท"นพ.โสภณกล่าว
ภญ.มุกดาวรรณ
ประกอบไวทยกิจ รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม(อภ.) กล่าวว่า อภ.พยายามมานานกว่า
16 ปี ก็สามารถพัฒนาและนำยาตัวนี้จนผ่านมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก
มาตรฐานเทียบเท่ายาต้นแบบ ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาดี
มีคุณภาพจากเมื่อก่อนที่ยังไม่สามารถผลิตได้เองทำให้ราคาสูงขวดละกว่า 1 พันบาท
แต่เมื่อผลิตได้เองทำให้ราคาลดลงเหลือเพียงขวดละ 180 บาท
ซึ่งกำลังการผลิตที่โรงงานผลิตยารังสิตเฟส1 เพียงพอต่อการผลิตยาใช้ในประเทศ
และส่งออก โดยการผลิตปี
2561สามารถผลิตยาเอฟฟาไวเรนซ์ 42 ล้านเม็ด คิดเป็นเพียง 2.5
%ของกำลังการผลิตยาในโรงงานทั้งหมด ที่สามารถผลิตได้มากถึง 4 พันล้านเม็ด
และขณะนี้ได้ส่งยาต้านไวรัสเอดส์จีพีโอเวียร์ (VIR T) ซึ่งเป็นยาสูตรรวม กินแค่เม็ดเดียว
ขอรับรองจากฮูเช่นเดียวกัน คาดว่าอีก 2 ปีจะทราบผล แต่มั่นใจว่าน่าจะสามารถผ่านได้
นอกจากนี้อนาคตยังเตรียมส่งยาต้านวัณโรค และยารักษาโรคมาลาเรียเข้าสู่การรับรองด้วย
ขอขอบคุณ
ข้อมูล : สสส.







ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น