วันนี้ทีมงาน GCLUB มีข้อมูลข่าวสารดีๆ มานำเสนอท่านผู้อ่านทุกท่าน... ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสมุนไพรดีๆ
มากมาย จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายคน
โดยเฉพาะผู้หลักผู้ใหญ่นิยมทานยาสมุนไพรมากกว่ายาปฏิชีวนะ
เพราะนอกจากสมุนไพรไทยส่วนใหญ่ราคาย่อมเยา หาซื้อได้ง่ายแล้ว ยังให้ผลดี
และดีต่อสุขภาพ
ไม่ตกค้างที่ตับอย่างที่หลายคนกลัวผลข้างเคียงของการทานยาปฏิชีวนะเป็นเวลานานอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม
ยาสมุนไพรปลอดภัยต่อร่างกายจริงหรือ
แล้วมีประสิทธิดีเทียบเท่ากับการทานยาปฏิชีวนะจริงๆ หรือไม่
ยาเขียว
VS ยาพาราเซตามอล
ยาเขียว
ยาเขียว
จัดเป็นยาสมุนไพรพื้นบ้านที่ใช้กันมาอย่างยาวนานนับสิบปี
มีสรรพคุณตามที่บันทึกไว้ในบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2556 ว่า ช่วยบรรเทาอาการไข้
ร้อนในกระหายน้ำ บรรเทาอาการไข้จากหัด และอีสุกอีใส
อันตรายจากยาเขียว
แม้ว่ายาเขียวจะสามารถลดไข้ได้จริง
แต่สามารถลดไข้ในรายที่ผู้ป่วยอาการไม่รุนแรงเท่านั้น
นอกจากนี้ยาเขียวยังไม่มีงานวิจัยสนับสนุนที่แน่ชัด
ไม่สามารถลดไข้ได้หลายประเภทเหมือนยาพาราเซตามอล
ไม่แนะนำให้ใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายโรคไข้เลือดออก
เพราะตัวยาอาจเข้าไปบดบังอาการของโรคไข้เลือดออก
ทำให้ทราบสาเหตุของโรคที่แท้จริงได้ยากมากยิ่งขึ้น
และยังต้องระมัดระวังในการใช้ยากับผู้ที่มีอาการแพ้เกสรดอกไม้
เพราะในตำรับยามีส่วมผสมของเกสรดอกไม้รวมอยู่ด้วย
หากผู้ป่วยทานยาเขียวมากถึง
3 วันแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น
ควรรีบพบแพทย์แผนปัจจุบันเพื่อตรวจหาสาเหตุของอาการไข้ที่แท้จริงต่อไป
ยาพาราเซตามอล
ยาพาราเซตามอลเป็นหนึ่งในยาแก้ปวดที่อยู่ตำรับยาแผนปัจจุบัน
มีสรรพคุณลดไข้ และบรรเทาอาการปวดได้ทั่วไป
และสามารถใช้บรรเทาอาการไข้ของผู้ป่วยไข้เลือดออกได้
อันตรายจากยาพาราเซตามอล
การได้รับยาพาราเซตามอลในปริมาณมากเกินขนาด
(150 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ของน้ำหนักตัวในคราวเดียวกัน) อาจทำให้ได้รับพิษมากขึ้น
อาจทำให้มีอาการคลื่นไส้ เซื่องซึม รวมถึงตับ และไตอาจเป็นพิษ และทำงานผิดปกติได้
หากทานยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้ติดต่อกัน
5 วันแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น
ควรรีบพบแพทย์แผนปัจจุบันเพื่อตรวจหาสาเหตุของอาการไข้ที่แท้จริงต่อไป
ขอขอบคุณ
ข้อมูล
: สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา







ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น