ปลดล็อก "กัญชา" ปี 62 - GclubTHAILAND

Gclub เว็บไซต์พนันออนไลน์การันตี อันดับ1 ของคนเล่น

Breaking

Post Top Ad

Post Top Ad




วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2562

ปลดล็อก "กัญชา" ปี 62

วันนี้ทีมงาน GCLUB ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่าน... ประเด็นร้อน ส่งท้าย “ปีจอ 2561” และคงหนีไม่พ้นกลายเป็น หนังเรื่องยาวที่สังคมจับตาใน “ปีกุน 2562” เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2561 คณะกรรมาธิการวิสามัญมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ..... โดยปรับแก้ไข 2 เรื่อง ประกอบด้วย แยกการควบคุมการอนุญาตการผลิตนำเข้า-ส่งออก จำหน่ายยาเสพติดหรือมีไว้ในครอบครองประเภท 2 และประเภท 5 ออกจากกันอย่างชัดเจน


โดยสาระสำคัญ คือ เปิดโอกาสให้สามารถนำยาเสพติดประเภท 5 คือ กัญชาและกระท่อม ไปทำการศึกษาวิจัยเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ และสามารถนำไปรักษาภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์ได้โดยเฉพาะการแก้ไขในส่วนของบท เฉพาะกาล ที่ เพิ่มองค์ประกอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ เฉพาะวาระที่เกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษประเภท 5 จำนวน 8 ตำแหน่ง คือ 1.ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2.อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก 3.อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม 4.อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ 5.อธิบดีกรมสุขภาพจิต 6.นายกแพทยสภา 7.นายกสภาการแพทย์แผนไทยและ 8.นายกสภาเภสัชกรรม

และเมื่อเจาะลึกไปอีกจะพบว่าการขออนุญาตเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษนั้นเน้นความสำคัญเพื่อประโยชน์ทางราชการ การแพทย์ การรักษาผู้ป่วย การศึกษาวิจัยพัฒนา รวมถึงเกษตรกรรม พาณิชยกรรม วิทยาศาสตร์ หรืออุตสาหกรรมเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์

ซึ่งต้องขออนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด ที่มีลักษณะตามกำหนดในราชกิจจานุเบกษา ส่วนการผลิต นำเข้า ส่งออก ครอบครอง หรือจำหน่ายกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ต้องเป็นไปตามที่กฎกระทรวงกำหนดจากการปลดล็อกกัญชาเพื่อให้ไทยสามารถนำสารที่มีส่วนประกอบหลักที่ออกฤทธิ์ต่อร่างกายและสมอง 2 ชนิด คือ tetrahydrocannabinol (THC) หรือสารกล่อมประสาท และ cannabidiol (CBD)

สารที่ลดการอักเสบ ลดการกังวล ซึ่งนอกเหนือจากความหวังเพื่อนำประโยชน์จากพืชธรรมชาติอย่างกัญชามาใช้แล้ว สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามนั่นก็คือการนำสารกัญชาไปใช้ในทางที่ผิด เพราะแม้จะมีการคลายล็อกกัญชา แต่ต้องอย่าลืมว่ากัญชา ก็ยังคงเป็นยาเสพติดที่ผู้ครอบครองต้องมีการขออนุญาตไม่เช่นนั้นจะต้องได้ รับโทษทั้งจำและปรับ


นพ.โสภณ เมฆธน ที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข และประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เล่าถึง สาเหตุที่ต้องปลดล็อกและนำกัญชามาใช้ทางการแพทย์ ว่า ปัจจุบันวิทยาการมีความเจริญก้าวหน้ามีการศึกษาวิจัย จนมีความเชื่อว่ากัญชามีประโยชน์ทางการแพทย์ เพราะสามารถนำไปใช้รักษาเรื่องโรคลมชักที่ยาปัจจุบันยังรักษาไม่ได้ ในผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัด ช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียน ลดอาการปลายปลอกประสาทอักเสบที่แข็งเกร็ง และช่วยในเรื่องอาการปวด ทั้งหากย้อนไปในประวัติศาสตร์จะพบว่าไทยมีการใช้กัญชา

ใส่ในตำรับยากว่า 100 ตำรับ ซึ่งถือว่ามีประโยชน์ แต่ก็ยังติดขัดเรื่องกฎหมาย จึงต้องมีการปลดล็อกเพื่อสามารถนำกัญชาไปใช้ในทางการแพทย์ได้อย่างครบกระบวนการ ตั้งแต่ศึกษาวิจัย ปลูกและสกัด จนสามารถนำไปรักษาโรคได้ แต่ไม่มีแนวคิดที่จะนำมาใช้เพื่อเรื่องนันทนาการแน่นอน

“การที่เรานำยาเสพติดมาใช้เป็นยารักษาโรคนั้น เพราะบางโรคแม้จะมียาแผนปัจจุบันรักษาได้ แต่ยาแผนปัจจุบันที่ใช้รักษาโรค เช่น พาร์กินสัน อัลไซเมอร์ เป็นต้น อาจช่วยเรื่องการลดอาการ แต่ยังไม่สามารถลดการดำเนินของโรคได้ ขณะที่มีคนที่ใช้กัญชาแล้วพบว่าสามารถลดการดำเนินของโรคได้ ดังนั้นจึงถือเป็นประโยชน์และไม่ทำให้คนไข้เสียโอกาส ทั้งนี้หากสามารถนำกัญชามารักษาโรคได้ ก็จะถือเป็นยาที่ประเทศ ไทยผลิตเองได้ ส่งผลให้ไทยไม่ต้องนำเข้ายาในชนิดที่ใช้สารสกัดจากกัญชาทดแทนได้


ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านยาได้จำนวนมาก ดังนั้นถือเป็นโอกาสของไทยและผู้ป่วย และที่สำคัญหากคนไทยผลิตเองได้ยาที่ ได้ก็จะมีราคาถูกผู้ป่วยเข้าถึงได้ ซึ่งราคาจะถูกกว่าต่างชาติแน่นอน โดยเป้าหมายคือผู้ป่วยบัตรทองสามารถใช้ได้ อนาคตหากเราไม่ทำเรื่องกัญชาเราต้องมีการนำเข้ากัญชาจากต่างชาติ” นพ.โสภณ ขยายภาพถึงสาเหตุการนำยาเสพติดมาใช้เป็นยารักษาโรค


โดยหลังจากกัญชาถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์อย่างแพร่หลายในหลายประเทศทั่วโลก เนื่องจากมีผลงานวิจัยและผลการศึกษาที่ออกมารองรับว่าสารสกัดจากกัญชา ทั้ง THC และ CBD มีสรรพคุณในการรักษาโรค โดยเฉพาะบางโรคที่ยังไม่มียารักษา เช่น ลมชัก เป็นต้น



ขอขอบคุณ
ข้อมูล : thairath

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Top Ad

Responsive Ads Here