วันนี้ทีมงาน GCLUB ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่าน... ประเด็นร้อน
ส่งท้าย “ปีจอ 2561” และคงหนีไม่พ้นกลายเป็น หนังเรื่องยาวที่สังคมจับตาใน “ปีกุน
2562” เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2561 คณะกรรมาธิการวิสามัญมีการพิจารณาร่าง
พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ..... โดยปรับแก้ไข 2 เรื่อง ประกอบด้วย
แยกการควบคุมการอนุญาตการผลิตนำเข้า-ส่งออก
จำหน่ายยาเสพติดหรือมีไว้ในครอบครองประเภท 2 และประเภท 5 ออกจากกันอย่างชัดเจน
โดยสาระสำคัญ
คือ เปิดโอกาสให้สามารถนำยาเสพติดประเภท 5 คือ กัญชาและกระท่อม
ไปทำการศึกษาวิจัยเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์
และสามารถนำไปรักษาภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์ได้โดยเฉพาะการแก้ไขในส่วนของบท
เฉพาะกาล ที่ เพิ่มองค์ประกอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ
เฉพาะวาระที่เกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษประเภท 5 จำนวน 8 ตำแหน่ง คือ
1.ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2.อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
3.อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม 4.อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
5.อธิบดีกรมสุขภาพจิต 6.นายกแพทยสภา 7.นายกสภาการแพทย์แผนไทยและ
8.นายกสภาเภสัชกรรม
และเมื่อเจาะลึกไปอีกจะพบว่าการขออนุญาตเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษนั้นเน้นความสำคัญเพื่อประโยชน์ทางราชการ
การแพทย์ การรักษาผู้ป่วย การศึกษาวิจัยพัฒนา รวมถึงเกษตรกรรม พาณิชยกรรม
วิทยาศาสตร์ หรืออุตสาหกรรมเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์
ซึ่งต้องขออนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา
(อย.) โดยผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด
ที่มีลักษณะตามกำหนดในราชกิจจานุเบกษา ส่วนการผลิต นำเข้า ส่งออก ครอบครอง
หรือจำหน่ายกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ต้องเป็นไปตามที่กฎกระทรวงกำหนดจากการปลดล็อกกัญชาเพื่อให้ไทยสามารถนำสารที่มีส่วนประกอบหลักที่ออกฤทธิ์ต่อร่างกายและสมอง
2 ชนิด คือ tetrahydrocannabinol (THC) หรือสารกล่อมประสาท และ cannabidiol
(CBD)
สารที่ลดการอักเสบ
ลดการกังวล
ซึ่งนอกเหนือจากความหวังเพื่อนำประโยชน์จากพืชธรรมชาติอย่างกัญชามาใช้แล้ว
สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามนั่นก็คือการนำสารกัญชาไปใช้ในทางที่ผิด
เพราะแม้จะมีการคลายล็อกกัญชา แต่ต้องอย่าลืมว่ากัญชา
ก็ยังคงเป็นยาเสพติดที่ผู้ครอบครองต้องมีการขออนุญาตไม่เช่นนั้นจะต้องได้
รับโทษทั้งจำและปรับ
นพ.โสภณ
เมฆธน ที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข และประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เล่าถึง
สาเหตุที่ต้องปลดล็อกและนำกัญชามาใช้ทางการแพทย์ ว่า
ปัจจุบันวิทยาการมีความเจริญก้าวหน้ามีการศึกษาวิจัย
จนมีความเชื่อว่ากัญชามีประโยชน์ทางการแพทย์ เพราะสามารถนำไปใช้รักษาเรื่องโรคลมชักที่ยาปัจจุบันยังรักษาไม่ได้
ในผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัด ช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียน
ลดอาการปลายปลอกประสาทอักเสบที่แข็งเกร็ง และช่วยในเรื่องอาการปวด
ทั้งหากย้อนไปในประวัติศาสตร์จะพบว่าไทยมีการใช้กัญชา
ใส่ในตำรับยากว่า
100 ตำรับ ซึ่งถือว่ามีประโยชน์ แต่ก็ยังติดขัดเรื่องกฎหมาย
จึงต้องมีการปลดล็อกเพื่อสามารถนำกัญชาไปใช้ในทางการแพทย์ได้อย่างครบกระบวนการ
ตั้งแต่ศึกษาวิจัย ปลูกและสกัด จนสามารถนำไปรักษาโรคได้
แต่ไม่มีแนวคิดที่จะนำมาใช้เพื่อเรื่องนันทนาการแน่นอน
“การที่เรานำยาเสพติดมาใช้เป็นยารักษาโรคนั้น
เพราะบางโรคแม้จะมียาแผนปัจจุบันรักษาได้ แต่ยาแผนปัจจุบันที่ใช้รักษาโรค เช่น
พาร์กินสัน อัลไซเมอร์ เป็นต้น อาจช่วยเรื่องการลดอาการ
แต่ยังไม่สามารถลดการดำเนินของโรคได้
ขณะที่มีคนที่ใช้กัญชาแล้วพบว่าสามารถลดการดำเนินของโรคได้ ดังนั้นจึงถือเป็นประโยชน์และไม่ทำให้คนไข้เสียโอกาส
ทั้งนี้หากสามารถนำกัญชามารักษาโรคได้ ก็จะถือเป็นยาที่ประเทศ ไทยผลิตเองได้
ส่งผลให้ไทยไม่ต้องนำเข้ายาในชนิดที่ใช้สารสกัดจากกัญชาทดแทนได้
ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านยาได้จำนวนมาก
ดังนั้นถือเป็นโอกาสของไทยและผู้ป่วย และที่สำคัญหากคนไทยผลิตเองได้ยาที่
ได้ก็จะมีราคาถูกผู้ป่วยเข้าถึงได้ ซึ่งราคาจะถูกกว่าต่างชาติแน่นอน
โดยเป้าหมายคือผู้ป่วยบัตรทองสามารถใช้ได้
อนาคตหากเราไม่ทำเรื่องกัญชาเราต้องมีการนำเข้ากัญชาจากต่างชาติ” นพ.โสภณ
ขยายภาพถึงสาเหตุการนำยาเสพติดมาใช้เป็นยารักษาโรค
โดยหลังจากกัญชาถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์อย่างแพร่หลายในหลายประเทศทั่วโลก
เนื่องจากมีผลงานวิจัยและผลการศึกษาที่ออกมารองรับว่าสารสกัดจากกัญชา ทั้ง THC
และ CBD มีสรรพคุณในการรักษาโรค
โดยเฉพาะบางโรคที่ยังไม่มียารักษา เช่น ลมชัก เป็นต้น
ขอขอบคุณ
ข้อมูล : thairath






ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น